น้ำเจ้าปัญหา

เรื่องของน้ำนี้มีปัญหาอยู่เรื่อย เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวน้ำเสีย บางทีก็น้ำแล้ง ถึงขนาดเมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลต้องลงทุนประโคมข่าวอย่างใหญ่โตให้คนไทยประหยัดการใช้น้ำ เพราะมันแล้งเสียจนน่ากลัวว่าเราจะขาดน้ำขนาดหนัก ทั้งน้ำที่ทำการเกษตร น้ำที่กินที่ใช้ และน้ำที่มาทำไฟฟ้า จนมีข่าวว่าเราอาจต้องปิด-เปิดไฟสลับกันเป็นบางวัน เพราะน้ำที่จะใช้ปั่นไฟที่เขื่อนภูมิพลลดน้อยลง ๆ อย่างน่าตกใจ และทำท่าว่าจะหมดแรงที่จะผลิตกระแสไฟได้


บ้านเรือนจมน้ำ ยังความสูญเสียมากมาย

แต่แล้วพระสยามเทวาธิราชก็มาช่วยไว้อีกตามเคยในนาทีสุดท้าย ทำให้ฝนตกลงมามีน้ำพอประทังกันต่อไป แต่ยังไม่ทันที่เสียงรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดจะจางไปจากหู ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอีก เมื่อปีที่แล้ว (2538) นี้เอง ก็คือเหตุการณ์น้ำท่วมซึ่งครั้งนี้ท่วมเสียเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และเมืองรอบ ๆ ก็โดนน้ำแช่ขังจนเน่าส่งกลิ้นฟุ้งอยู่มากมาย

นี่แหละถึงได้บอกว่าน้ำนี้มีปัญหา และนับเป็นวิกฤติการณ์ที่มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไข

ปัญหาของน้ำไม่ใช่จะมีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้จะกลายเป็นปัญหาของโลกไปแล้ว เพราะเหตุที่ว่าต้องการใช้น้ำกันทุกคน ยิ่งประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำก็ต้องเพิ่มมากขึ้นตามมา เวลานี้โลกมีประชากรอยู่ประมาณ 5,600 ล้าน แถมการสาธารณสุขก็พัฒนาก้าวหน้าอยู่เรื่อย ๆ คนตายจึงน้อยกว่าเกิดซึ่งมีการประมาณกันว่าอีก 30 ปีข้างหน้า โลกเราจะมีประชากรถึงประมาณ 8,000 ล้านคน ที่จะมาแย่งกันกินแย่งกันใช้


อ่างเก็บน้ำที่สามารถบรรเทาอุทกภัย และนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในยามแล้ง

เราจะนึกกันบ้างไหมว่าน้ำจะเป็นปัญหาของมนุษย์โดยเฉพาะเรื่องการขาดน้ำ ทั้ง ๆ ที่โลกนี้มีน้ำมากกว่าแผ่นดินตั้งหลายเท่า แต่น้ำเหล่านี้ก็เป็นน้ำทะเลที่เค็ม ซึ่งเอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มากนัก โดยเฉพาะเอามาปลูกผัก ปลูกหญ้า หรือให้วัวควายกินก็คงตายกันหมด รวมทั้งมนุษย์เดินดินอย่างเรา ๆ ด้วยเช่นกัน

แม้จะมีการพูดกันว่าเราสามารถทำเครื่องกรองน้ำทะเลมาเป็นน้ำจืดแล้วก็ตาม ผมก็ไม่เห็นมีใครนำมาใช้สักเท่าไหร่ ก็แสดงว่าเครื่องนั้นมันใช้ไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่คุ้มค่านั่นเอง มิฉะนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นแน่ เพราะน้ำที่มีอยู่ในโลกเรานี้เป็นน้ำทะเลตั้ง 97 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำจืดที่เก็บอยู่ตามสระ หนอง คลอง บึง รวมทั้งเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ บนแผ่นดิน รวมกับน้ำที่ระเหยจากทะเลไปค้างอยู่บนฟ้าอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้ตกลงมาเป็นฝน

ถ้าปีไหนฝนไม่ค่อยตกหรือตกน้อยห่า เรียกว่าห่า ลงมาน้อยก็แล้วกันนะครับ ก็ทำให้แห้งแล้ง แต่ถ้าปีไหนห่าลงมามากก็น้ำท่วมเสียจนอ่วมอรทัย

น้ำจืดร้อยละ 3 ของทั้งหมดในโลกนี้ นับว่าเป็นเปอร์เซ็นนต์ที่น้อยนิดเอามาก ๆ และในจำนวน 3 เปอร์เซ็นต์นี้ก็ยังเป็นฝนที่ตกลงมา แล้วไหลลงทะเลไปโดยไม่ได้เก็บไว้ใช้อีกไม่รู้เท่าไหร่ (ยังไม่นับที่ตกในทะเลโดยตรงอีกด้วย) ในขณะที่พลเมืองโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องพบกับวิกฤติการณ์การขาดน้ำอุปโภคบริโภคค่อนข้างแน่นอนในอนาคต นอกจากว่าเราจะหาทางช่วยกันหาที่ทางเก็บรักษาน้ำไว้ให้เพิ่มมากขึ้น เหมือนกับมีตุ่มใส่น้ำไว้ในบ้านให้มาก ๆ เพื่อกักตุนน้ำเอาไว้ใช้ ไม่ปล่อยให้ไหลลงทะเลไปอย่างน่าเสียดาย ก็คงจะบรรเทาปัญหาไปได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ได้บอกว่า มีประเทศต่าง ๆ ในโลกถึง 80 กว่าประเทศ ที่ขาดแคลนน้ำมาก โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ในการเกษตรกรรมถึงขนาดมีสภาพแห้งแล้งทารุณจนไม่สามารถเพาะปลูกด้ และบางพื้นที่ดินแตกระแหงจนผู้คนกว่า 135 ล้านคนในโลก ต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปหาดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่า เพื่อทำมาหากินเลี้ยงปากท้องตนเอง โดยเฉพาะประเทศในฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาบางประเทศ ซึ่งได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น ปัญหาสลัม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสาธารณสุข เป็นต้น เพราะผู้อพยพเหล่านี้ส่วนมากก็จะอพยพเข้าเมือง ไอ้เรื่องที่จะอพยพไปหาแหล่งเพาะปลูกแหล่งอื่นก็หายาก เพราะหากเป็นที่ดินที่ดีหน่อยก็มักจะมีเจ้าของหมดแล้ว จึงมีหนทางรอดตายอยู่บ้าง คือไปตัดป่าบุกเบิกที่ทำกินใหม่ หรืออพยพเข้าเมือง ซึ่งคนไทยจะไม่เลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่เอาทั้ง 2 วิธี เช่น พ่อแม่ไปตัดป่าบุกเบิกพื้นที่ใหม่ ลูกชายไปเป็นช่างก่อสร้าง และลูกสาวไปทำงานโรงงานในเมือง ส่วนปู่ย่าตายายก็เฝ้าไร่นาที่แห้งตายซากอยู่อย่างนั้น แต่ประเทศไทยและคนไทยก็สุขสบายดี ยังใช้น้ำกันอย่างฟุ่มเฟือย..หรือใครว่าไม่ใช่

เวลานี้เราไปนั่งร้านอาหารในระดับปานกลางหน่อย ขอถามก่อนว่ามีใครบ้างครับที่ทานข้าวแล้วไม่ทานน้ำ และพอคุณสั่งน้ำเขาก็จะเอาน้ำขวดมายัดเยียดให้คุณดื่ม ผิดกับสมัยก่อนที่เขาจะบริการน้ำใส่น้ำแข็งน้ำชาเป็นแก้ว บางร้านให้ฟรี บางร้านอาจเสียค่าน้ำชาน้ำแข็งบ้าง แก้วละ 1 บาท เดี๋ยวนี้เขาจะเปิดขวดให้คุณดื่ม หากเราจะรินทานคนเดียวมันก็จะเหลือ รู้สึกมากเกินไป ครั้นจะทาน 2 คน ขวดเดียวก็ไม่พอต้องสั่งอีกขวด และสั่งมาแล้วอีกขวดก็เหลืออีกนั่นแหละ สรุปแล้วตามโต๊ะในร้านอาหารมีน้ำเหลืออยู่ในขวดทิ้งไว้ตามโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเขาก็เก็บเอาไปเททิ้ง แต่รวมความแล้วก็นับว่าเป็นตัวอย่างของการใช้น้ำที่ฟุ่มเฟือยจริง ๆ และที่ทารุณมากไปกว่านี้ก็คือแพง น้ำประปาบ้านเราขายลูกบาศก์เมตร หรือ 1,000 ลิตร ในราคาเฉลี่ย 9 บาท นี่ก็คงขึ้นราคาไปแล้ว ไม่รู้เท่าไหร่แน่ แต่สมมุติว่า 10 บาท ต่อ 1,000 ลิตร ก็ยังเฉลี่ยได้ลิตรละ 1 สตางค์ ก็ร้องกันว่าแพงแล้ว แต่น้ำขวดที่เราขายให้เราดื่มเพียงดูดน้ำขึ้นมาจากใต้ดินแล้วมากรองอีกนิดหน่อย เขาเอามาขายเราประมาณลิตรละ (ขวดละ) 10 กว่าบาท

ดังนั้น พวกเราจะต้องช่วยกันประหยัดน้ำกันหน่อย ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม เพราะนับวันโลกเราจะมีปรากฎการณ์ของความแห้งแล้งขยายวงกว้างขึ้นไปทุกที ซึ่งมีสถิติบอกไว้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความแห้งแล้งได้ทำให้ผิวดิน หรือที่เรียกว่าหน้าดินที่เป็นปุ๋ยถูกชะล้างไหลลงแม่น้ำลำคลอง และทะเลไปไม่น้อยกว่า 24,000 ล้านตัน หากเอาผิวดินจำนวนนี้มาปูลงบนพื้นดินใหม่ก็จะได้พื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่กว่าประเทศอเมริกา

คิดดูว่าเราเสียพื้นที่เกษตรกรรมไปขนาดใหญ่กว่าประเทศอเมริกา ซึ่งประมาณว่าพื้นที่ขนาดนี้สามารถทำการเกษตรได้โดยมีมูลค่าถึง 1,000,000 ล้านบาทต่อปี และผลผลิตที่ได้ก็จะสามารถเลี้ยงพลโลกได้ถึง 1,000 ล้านคนเป็นอย่างน้อย

เห็นไหมครับ เพราะน้ำเป็นเหตุอย่างเดียวแท้ ๆ ทำให้เราต้องสูญเสียอะไรต่อมิอะไรมากมาย ตั้งแต่ปัญหาอาหารกิน ปัญหาการอพยพทิ้งถิ่นฐาน ฯลฯ จนเป็นปัญหาลูกโซ่ที่ติดตามเป็นปัญหาสังคมในเมือง

เรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะน้ำ
แล้วทำไมเราจึงไม่ประหยัดและช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราเอง
ก็น้ำคือชีวิตมิใช่หรือ?


ที่มา : รวบรวมจาก พ.สุวรรณ , วารสารมูลนิธิ สิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิต ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2539