การเข้าสู่ร่างกายของสารพิษ
สารพิษเข้าสู่ร่างกายได้
3 ทาง คือ
1. ทางจมูก
ด้วยการสูดดมไอของสาร ผลคือละอองของสารพิษปะปนเข้าไปกับลมหายใจ
สารพิษบางชนิดจะมีฤทธิ์กัดกร่อน
ทำให้เยื่อจมูกและหลอดลมอักเสบหรือซึมผ่านเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสโลหิตทำให้โลหิตเป็นพิษ
2. ทางปาก
อาจจะเข้าปากโดยความสะเพร่า
เช่น ใช้มือที่เปื้อนสารพิษหยิบอาหารเข้าปากหรือกินผักผลไม้ที่มีสารพิษตกค้างอยู่
หรืออาจจะจงใจกินสารพิษบางชนิดเพื่อฆ่าตัวตาย
เป็นต้น
3. ทางผิวหนัง
เกิดอาการสัมผัสหรือจับต้องสารพิษ
สารพิษบางชนิดสามารถซึมผ่านทางผิวหนังได้เพราะเข้าไปทำปฏิกิริยาเกิดเป็นพิษแก่ร่างกาย
สารพิษเมื่อเข้าสู่ร่างกายทางใดก็ตาม
เมื่อมีความเข้มข้นพอจะมีปฏิกิริยา
ณ จุดสัมผัสและซึมเข้าสู่กระแสโลหิต
ซึ่งจะพาสารพิษไปทั่วร่างกายความสามารถในการสู่กระแสโลหิตนั้นขึ้นอยู่กับคุณสมบัติการละลายของสารพิษนั้น
สารพิษบางชนิดอาจถูกร่างกายทำลายได้
บางชนิดอาจถูกขับถ่ายออกทางไต
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทางเดินปัสสวะและกระเพาะปัสสวะบางชนิดอาจถูกสะสมไว้
เช่น ที่ตับ ไขมัน
เป็นต้น
ประเภทของสารเป็นพิษ
1. สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและสัตว์
สารพิษประเภทนี้แบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่
ๆ ดังนี้
1.1 ยาฆ่าแมลง
คือสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันและกำจัดแมลงและหนอนที่เป็นศัตรูพืช
สัตว์และมนุษย์ มีทั้งที่อยู่ในรูปสารประกอบอินทรีย์
ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองในธรรมชาติหรือสังเคราะห์ขึ้น
ยาฆ่าแมลงที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นสามารถแบ่งออกได้เป็น
4 กลุ่ม คือ
1.1.1 กลุ่มออแกโนคลอรีน
ได้แก่ ดีดีที อัลดริน
ดีลดริน เมื่อได้เป็นจำนวนมาก
จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ
ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวายและตายได้
แต่ถ้าได้รับ ในปริมาณน้อย ๆ ค่อย
ๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งเนื้องอกได้
1.1.2 กลุ่มออแกโนฟอสเฟต
ได้แก่ พาโรไธออน มาลาไธออน
ถ้าได้รับปริมาณมากจะทำให้หมดสติ
น้ำลายฟูมปาก อุจจาระ ปัสสวะร่วง
กล้ามเนื้อกระตุก และหยุดหายใจ
1.1.3 กลุ่มคาร์มาเมต
ได้แก่ คาร์บอริล ไบกอน
สารพิษกลุ่มนี้ จะมีพิษสูงต่อผึ้งและปลา
1.1.4 กลุ่มไพรีทรอย
ได้แก่ แอมบุช เดซิล สารพิษกลุ่มนี้มีพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นค่อนข้างน้อย
2. สารเคมีปราบวัชพืช
เป็นสารเคมีทำใช้ในการป้องกันและกำจัดวัชพืชปัจจุบันสารเคมี
ปราบวัชพืชมีจำหน่ายอยู่มากกว่า 150 ชนิด
หลายสูตรและมีประสิทธิภาพ ตกค้างอยู่ในดินในสภาวะที่เหมาะสมได้เป็นเวลานาน
สารพวกนี้ ได้แก่ พาราควอต
คาราฟอน อะตราชีน
3. สารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อรา
เป็นสารที่ใช้ป้องกันกำจัดเชื้อราที่พืชพันธุ์ธัญญาหารเมล็ด
พืชผัก ผลไม้ตลอดจนเชื้อรา
ที่ขึ้นอยู่ตามผิวดินสารประเภทนี้มีมากกว่า
250 ชนิด ได้แก่ คอปเปอร์ซัลเฟต
แอนทราโคล โลนาโคล แมนเซทดี
4. สารเคมีปราบสัตว์แทะ
เป็นสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดหนู
และสัตว์บางชนิด มีพิษร้ายแรงมากทำให้คลื่นไส้
อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน
วิงเวียนศีรษะ กระสับกระส่าย
ได้แก่ ซิงค์ ฟอลไฟด์ วาฟาริน
อันตรายจากการใช้สารเป็นพิษ

การใช้สารพิษอย่างไม่ถูกต้องมีอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมนี้
1. ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้โดยตรง
ได้แก่
เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารพิษและประชาชนทั่ว
ๆ ไป ทั้งนี้เนื่องมาจากขาดความรู้เข้าใจในการใช้และป้องกันอันตรายจากสารพิษอย่างถูกต้อง
จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น
สารพิษที่ใช้อาจถูกร่างกายของผู้ใช้หรือหายใจเอาก๊าซพิษที่รั่วสู่บรรยากาศเข้าไปทำให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วยถึงชีวิตได้ในทันที
หรือสะสมสารพิษในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ทำให้สุขภาพทรุดโทรม เกิดโรคภัยร้ายแรงขึ้นได้ภายหลัง
2. ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชน
และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งที่มีการใช้สารพิษ
ทั้งนี้เนื่องจากสารพิษที่ใช้หรือที่เกิดจากกระบวนการผลิตถูกปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมรอบ
ๆ ในปริมาณสูงจนอาจเกิดอันตรายต่อผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณรอบ
ๆ ซึ่งต้องรับสารพิษเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3. ทำให้สภาวะสมดุลตามธรรมชาติเสียไป
เนื่องจากศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำ
ตัวเบียฬ
ที่มีประโยชน์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ศัตรูมนุษย์และสัตว์ถูกสารพิษทำลายหมด
ไป แต่ขณะเดียวกันศัตรูที่เป็นปัญหา
โดยเฉพาะพวกแมลงศัตรูพืชสามารถสร้างความ
ต้านทานสารพิษขึ้นได้ทำให้เกิดปัญหาการระบาดเพิ่มมากขึ้น
หรือศัตรูพืชที่ไม่ค่อย
ระบาด ก็เกิดระบาดขึ้นมาเป็นปัญหาในการป้องกันกำจัดมากขึ้น
4. ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของนก
ปลา สัตว์ป่าชนิดต่าง
ๆ แมลงที่มีประโยชน์ เช่น
ผึ้ง พบว่ามีปริมาณลดน้อยลงจนบางชนิดเกือบสูญพันธุ์
ทั้งนี้เนื่องจากถูกทำลายโดยทางพิษที่ได้รับเข้าไปทันที
หรือสารพิษที่สะสมในร่างกายของสัตว์เหล่านั้น
มีผลให้เกิดความล้มเหลวในการแพร่ขยายพันธุ์
5. ทำให้เกิดอันตรายแก่สิ่งมีชีวิต
และมนุษย์ในระยะยาว
เนื่องจากการได้รับสารพิษซึ่งกระจายตกค้างอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม
เข้าไปสะสมไว้ในร่างกายทีละน้อยจนทำให้ระบบ
และวงจรการทำงานของร่างกายผิดปกติ
เป็นเหตุให้เกิดโรคอันตรายขึ้นหรือบางครั้งอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือเกิดความผิดปกติในรุ่นลูกหลานขึ้นได้
6. ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจขึ้นกับประเทศชาติ
เนื่องจากการเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชนทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาไม่สามารถส่งอาหารผลิตผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้
เนื่องจากมีสารพิษตกค้างอยู่ในปริมาณสูง
เกินปริมาณที่กำหนดไว้ทำให้สามารถที่จะนำมาพัฒนาประเทศ
7. ทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่ดี
ปริมาณสารพิษที่ถูกปล่อยและตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม
เช่น สารพิษโลหะหนักในแหล่งน้ำ
หรือก๊าซพิษที่ผสมอยู่ในชั้นบรรยากาศทำให้
คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเสียหายไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
วิธีการป้องกันสารเป็นพิษ

1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สารเป็นพิษเพื่อกิจกรรมต่าง
ๆ
2. ควรศึกษาให้เข้าใจถึงอันตรายและวิธีการใช้สารเคมีแต่ละชนิด
3. ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อการป้องกันอันตรายขณะที่มีการทำงานหรือเกี่ยวข้องกับสารเคมี
4. ควรมีการตรวจสุขภาพ สำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีอย่างน้อยปีละครั้ง
5. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้บริเวณที่มีการใช้สารเคมีเพื่อป้องกันสารเป็นพิษเข้าสู่ร่างกายทางปาก
จมูก และผิวหนัง
6. เมื่อมีการใช้สารเคมี
ควรอ่านฉลากกำกับโดยตลอดให้เข้าใจก่อนใช้
และต้องปฏิบัติตามคำเตือนและข้อควรระวังโดยเคร่งครัด
7. อย่าล้างภาชนะบรรจุสารเคมีหรืออุปกรณ์เครื่องพ่นยาลงไปในแม่น้ำ
ลำธาร บ่อ คลอง ฯลฯ
8. ภาชนะบรรจุสารเคมีเมื่อใช้หมดแล้วให้ทำลายและฝังดินเสีย
9. ให้ความร่วมมือกับทางราชการในการควบคุมตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
ที่มา
: รวบรวมจาก หนังสือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม