ทฤษฎีดาวหางและอุกกาบาต

เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้วได้เกิดมีอุกกาบาตหรือดาวหางขนาดมหึมาพุ่งเข้าชนโลก ทำให้ฝุ่นจำนวนมหาศาลลอยฟุ้งขึ้นไป แขวนลอยอยู่ในอากาศเป็นชั้นหนาทึบและแผ่ปกคลุมโลกไว้เป็นเหตุให้แสงอาทิตย์ถูกบดบัง จากฝุ่น พืชพรรณไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่สัตว์ต่างๆ ล้มตายลง ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์กินพืชหรือกินเนื้อต่างพากันขาดอาหารและล้มตายไปในที่สุด แต่การ หายไปของไดโนเสาร์เหล่านั้นไม่ได้เป็นไปอย่างกะทันหันแต่จะค่อยๆ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดไป เพราะจากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่มีชื่อว่านาย แกรี่ แลนดีส (GARY LANDIS) ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์นั้นเกิดจากปริมาณ ของก๊าซออกซิเจนในอากาศไม่เพียงพอต่อการหายใจที่ทราบ เช่นนี้เพราะ นายแลนดีส ได้ ทำการวัดปริมาณของก๊าซออกซิเจนที่อยู่ในซากดึกดำบรรพ์ของยางไม้ในสมัยที่ไดโนเสาร์ ครองโลก พบว่าปริมาณออกซิเจนในช่วงเวลา 2 ล้านปีก่อนสิ้นยุคครีเตเชียส มีประมาณ 35% แต่หลังจากที่สิ้นสุดยุคนี้แล้วปริมาณออกซิเจนลดลงเหลือเพียง 28% ซึ่งเป็นช่วงที่ ไดโนเสาร์ สูญพันธุ์ไปจากโลกพอดี ปัจจุบันนี้ประมาณของก๊าซออกซิเจนเหลือเพียง 21% เท่านั้น รวมความแล้วการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์มาจากระบบการหายใจขัดข้องเพราะขาด ก๊าซออกซิเจนในการหายใจ เผ่าพันธุ์ของไดโนเสาร์ในอเมริกาจึงลดลงจาก 35 ชนิดเป็น 12 ชนิดเมื่อสิ้นยุคครีเตเชียส แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นปัญหาสำหรับนักวิทยาศาสตร์ต่อไปอีก ว่าก๊าซออกซิเจนที่ นายแลนดีส ตรวจสอบนั้น มีสมบัติต่าง ๆ คล้ายคลึงกับก๊าซออกซิเจน ในสมัยไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งก็จะต้องหาข้อมูลและทำการศึกษาค้นคว้ากัน ต่อไป


โดย ผกายดาว สุธาพรพิทักษ์ วารสาร สสวท.